ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มหาวิทยาลัยนราธิวาสมีการดำเนินงานด้านการสนับสนุน Start-up โดยมีการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างฝ่ายส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ (PNU Business Acceleration) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายแผนและนโยบาย สำนักงานอธิการบดี และกองพัฒนานักศึกษา โดย PNU Business Acceleration มีหน้าที่ประสานงานโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะและเร่งรัดการเป็นผู้ประกอบการ ทั้งของนักศึกษา บัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และผู้ประกอบการในพื้นที่ ดูแลให้บริการประสานงานในเรื่องการจด IP ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ ที่ได้รับทุนสนับสนุนทั้งจาก PMU ต่างๆ และภาคเอกชน สำหรับกองพัฒนานักศึกษา มีหน้าที่สนับสนุนโครงการต่างๆที่ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการให้กับนักศึกษา การให้บริการสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการในพื้นที่ (ร้านค้า U2T Shop) ตลอดจนการจัดการแข่งขันทักษะการส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการให้กับนักศึกษา เช่น โครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น, โครงการ TED FUND ในการสนับสนุน Start up ระดับท้องถิ่นนั้น มหาวิทยาลัยนราธิวาสได้ให้การสนับสนุนแบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อให้ชุมชนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่และสามารถยกระดับเศรฐกิจในครัวเรือนและชุมชน สำหรับกิจกรรมหรือโครงการที่ได้ดำเนินการสนับสนุนมีดังนี้
1. การผลักดันและ Accelerate ผู้ประกอบการภายใต้การดูแลของ PNU BAP ให้ได้รางวัลรองชนะเลิศของประเทศไทยในการแข่งขันในงาน We Rise Together Accelerator Pitching Day เพื่อเข้าร่วมดำเนินงานกับองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชติ UN Woman กระทรวงการต่างประเทศและการค้า รัฐบาลออสเตรเลีย

2. การบ่มเพาะและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้ประกอบการในการผลิตนวัตกรรม Snack จากก้านเห็ด

3. การพาผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ Deep South Innovation

4. การบ่มเพาะผู้ประกอบการเกี่ยวกับนวัตกรรมอาหาร

5. โครงการออมสินยุวพัฒน์รักษ์ถิ่น ที่สนับสนุนให้นักศึกษาเรียนรู้การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม

6. ร้านค้า U2T (U2T Shop) เป็นร้านค้าในมหาวิทยาลัยที่ให้บริการสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการในพื้นที่

7. โครงการการยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนประมงพื้นบ้านเกาะปูลาโต๊ะบีซูจังหวัดนราธิวาสเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเศรษฐกิจฐานรากสู่มูลค่าเชิงพาณิชย์
เกาะปูลาโต๊ะบีซู ดำเนินการในพื้นที่ ระยะเวลาการดำเนินงานเดือนกุมภาพันธ์ 2566 – มิถุนายน 2566 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 3,900,000 บาท (สามล้านเก้าแสนบาทถ้วน) จากหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมของโครงการ เกาะปูลาโต๊ะบีซู มีประชากรที่อาศัยอยู่ประจำ 119 ครัวเรือน โดยประชากรส่วนเป็นครัวเรือนยากจน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลัก คือ การทำประมงพื้นบ้าน จำนวน 83 ครัวเรือน และรับจ้างทั่วไป จำนวน 36 ครัวเรือน ถึงแม้เกาะจะมีคลองตากใบล้อมรอบซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงทางอาหารแก่ชุมชน ทำให้ผู้ทำการประมงพื้นบ้านมีสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ และเพิ่มโอกาสให้ผู้ทำการประมงพื้นบ้านทำการประมง แต่ในช่วงฤดูมรสุมของทุกปีจะไม่สามารถทำการประมงพื้นบ้านได้ แต่หากในช่วงฤดูมรสุมจะทำมาหากินไม่ได้ ต้องออกไปขายแรงงานนอกพื้นที่ นอกจากนี้ พบว่า มีคนว่างงานจำนวนมากที่ไม่ได้ทำงาน นอกจากนี้ ยังพบขยะต่างๆ มีทั้งจากที่มาจากครัวเรือน การเลี้ยงแพะ และจากธรรมชาติ หรือขยะทะเล และทางมะพร้าวร่วงหล่นบนพื้นจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยมีการบริหารจัดการขยะตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน ซึ่งจากปัญหาขยะเต็มเกลื่อนบนพื้นที่ จะส่งผลทำให้การดำเนินธุรกิจแปรรูปอาหารทะเลไม่ถูกสุขลักษณะและสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อนิเวศการแปรรูปอาหารสำหรับการบริโภค โดยมีกลุ่มเป้าหมายศึกษา จำนวน 15 กลุ่ม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้ ด้วยการสร้างธุรกิจชุมชนโดยผ่านกระบวนการแปรรูปสัตว์น้ำจากธุรกิจประมงพื้นบ้าน และ เพื่อพัฒนากระบวนการยกระดับรายได้ของชุมชนผ่านการสร้างรายได้ครัวเรือนด้วยธุรกิจประมงพื้นบ้านที่ยากจนให้หลุดพ้นกับดักความยากจน และสามารถดำเนินธุรกิจชุมชนได้ ซึ่งจะทำให้ชาวเกาะปูลาโต๊ะบีซู มีเงินไว้ใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานด้านปัจจัย 4 นอกจากนี้ ยังมีเงินเหลือพอที่แบ่งสัดส่วนสู่การออม การจ่ายหนี้ ซึ่งอย่างน้อยภาระหนี้สินลดลงอย่างน้อย 5% ขณะที่รายได้ของกลุ่ม LE เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 จากการรวมกลุ่มประกอบธุรกิจชุมชน นอกจากนี้เป็นการเพิ่มมูลค่าสัตว์ทะเล จากที่สัตว์ทะเลถูกลดทอนค่าน้อยลง ขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าของสัตว์ทะเลจากการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลตากแห้ง ซึ่งจะทำให้เกิดการกระจายในพื้นที่ นอกจากนั้น รายได้ของคนว่างงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 จากการรวมกลุ่มประกอบธุรกิจชุมชนนอกจากนี้ทำให้เกิดสภาพหนี้สินครัวเรือน ลดลงอย่างน้อย 5% ด้วยห่วงโซ่คุณค่าใหม่ และเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยกุญแจสำคัญ จำเป็นต้องเปลี่ยนนายทุนเป็นทุนเกื้อกูล โดยทำความขอแบ่งสัตว์ทะเลจำนวนครึ่งหนึ่งจากชาวประมงนำไปขายให้แก่นายทุน เพื่อนำไปแปรรูปสัตว์ทะเล ซึ่งจะทำให้เป็นการเพิ่มมูลค่าสัตว์ทะเล จากที่สัตว์ทะเลถูกลดทอนค่าน้อยลง ขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มมูลค่าจากการแปรรูป โดย ผลที่คาดการณ์ไว้ในห่วงโซ่คุณค่าใหม่ คือ รายได้ของกลุ่ม LE เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 และหนี้ของ LE ลดลงอย่างน้อย 5% บนฐานการบริหารการจัดการห่วงโซ่คุณค่าใหม่

8. โครงการ การยกระดับการผลิต แปรรูป และตลาดปลากะพงขาวจังหวัดนราธิวาสเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเศรษฐกิจฐานรากสู่มูลค่าเชิงพาณิชย์
ดำเนินการในพื้นที่ ระยะเวลาการดำเนินงานเดือนกุมภาพันธ์ 2566 – มิถุนายน 2566 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 4,500,000 บาท (สี่ล้านห้าแสนบาทถ้วน) จากหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมของโครงการ โครงการวิจัยเรื่องการยกระดับการผลิต แปรรูป และตลาดปลากะพงขาวจังหวัดนราธิวาสเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเศรษฐกิจฐานรากสู่มูลค่าเชิงพาณิชย์ มีความต้องการแก้ไขรากของปัญหาเรื่อง 3 ต. คือ อัตราการตายปลากะพงขาวสูง (ต.ตาย) อัตราการเจริญเติบโตปลากะพงขาวช้า (ต.โต) และปลากะพงขาวสดขายไม่สามารถจำหน่ายได้ เนื่องจากขาดแคลนผู้รับซื้อ (ต.ตลาด) จึงเกิดปรากฏการณ์ปลากะพงขาวค้างบ่อ โดยขจัดปัญหา (3 ต. หรือ ตาย โต ตลาด) การลดอัตราการตายปลากะพงขาว (ต.ตาย) การเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตปลากะพงขาว (ต.โต) และสร้างโอกาสทางการตลาด (ต.ตาย) โดยนำแก่นการทำงาน คน-ของ-ตลาด เพื่อสร้างการผลิตปลากะพงขาวให้เต็มความสามารถ ด้วยการนำข้อมูลโอกาสทางการตลาด หรือ ตลาด เพื่อมากำหนดการผลิต ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลากะพงขาว หรือ ของ ที่ตรงกับความต้องการซื้อของกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการชุมชน (LE) หรือ คน จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทักษะการผลิต หรือการเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง ได้แก่ การจัดการการเลี้ยงการคัดแยกปลากะพงขาว การใช้เครื่องออกซิเจนพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยลดอัตราการตายของปลากะพงขาว และการผลิตอาหารปลากะพงขาวเพื่อเพิ่มอัตราการโตของปลากะพงขาว) การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลากะพงขาว และการตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลากะพงจึงนำมาสู่กรอบแนวคิดที่สามามรถขจัดปัญหาตั้งแต่ระดับต้นน้ำ (ทักษะการเลี้ยงปลากะพงขาว และเครื่องออกซิเจนทำให้ปลาตายน้อยลง และการใช้เครื่องออกซิเจนพลังงานแสงอาทิตย์) ระดับกลางน้ำ (ทักษะการผลิต และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลากะพงขาว) และระดับปลายน้ำ (ทักษะการการขาย และการตลาด) โดยเข้าไปยกระดับความสามารถประกอบการธุรกิจท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับปลากะพงขาวในกระชังตลอดห่วงโซ่คุณค่า ด้วยการจัดการข้อต่อของกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่าใหม่ สู่การยกระดับอาชีพเดิมกลุ่มนักเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง จำนวน 13 กลุ่ม ไปสู่กลุ่มอาชีพใหม่ อีก 7 กลุ่ม (ภาพที่ 4.3) ประกอบด้วย กลุ่มนักเลี้ยงปลากะพง จากการรวมตัวกลุ่มเปราะบาง จำนวน 1 ทำให้ ดังนั้นมีรวม กลุ่มนักเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง จำนวน 14 กลุ่ม กลุ่มนักรวบรวมปลากะพงขาวสด จำนวน 1 กลุ่ม กลุ่มนักแปรรูปปลากะพงขาว จำนวน 1 กลุ่ม กลุ่มนักขายปลากะพงขาวแปรรรูป จำนวน 1 กลุ่ม กลุ่มนักรวบรวมวัตถุดิบและผลิตอาหารปลากะพงขาว จำนวน 1 กลุ่ม และกลุ่ม กขายอาหารปลากะพงขาว จำนวน 1 กลุ่ม การจัดการข้อต่อดังกล่าวส่งพลังการขับเคลื่อนเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ให้เกิดการผลิต ด้วยงานวิจัยเข้าไปยกระดับศักยภาพกาพการประกอบการ ด้านสมรรถนะหลัก (Core Competency) ประกอบด้วย ด้านการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม การทำงานระหว่างกลุ่ม และความรู้ทางด้านธุรกิจ และด้านสมรรถนะตามหน้าที่ (Job Competency) ประกอบด้วย ประสิทธิภาพการผลิต(Production) การตลาด(Marketing) แบรนด์ (Branding) ความเสี่ยง (Risk) และการเงิน(Finance)
กลุ่มผู้ประกอบการที่สร้างเป็นผู้ประกบอการธุรกิจชุมชนได้ จำนวน 189 คน หรือ จำนวน ผู้ประกอบการ จำนวน 19 กลุ่ม มีรายได้เพิ่มขั้น โดยกลุ่มนักเลี้ยงปลา จำนวน 14 กลุ่ม มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ ระหว่างช่วง (22.34 -72.91) ขณะที่ กลุ่มผู้ประกอบการ LE ที่มีรายได้เพิ่มมากที่สุด ที่เท่ากัน เท่ากับ ร้อยละ 100 คือ กลุ่มนักเลี้ยงปลากะพงขาว (กลุ่มเปราะบางชุมชนกาแลตาแป) กลุ่มนักรวบรวม นักแปรรูปปลากะพงขาว นักขายปลาแปรรูป นักรวบรวมและนักผลิตอาหารเม็ดปลากะพงขาว และนักขายอาหารเม็ดปลากะพงขาว เนื่องจากกลุ่ม LE เหล่านี้ เป็นกลุ่มผู้เปราะบางและว่างงานมารวมกลุ่มเพื่อสร้างอาชีพใหม่ 2) เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มของธุรกิจ เพิ่มขึ้นร้อยละ (8-25) ได้แก่ มูลค่าเพิ่มจากการนำปลากะพงแปรรูปเป็นปลากะพงขาวแดดเดียวปลาร้า (บูดู) ปลากะพงแผ่นอบกรอบ ลูกชิ้นปลากะพงขาว เท่ากับ ร้อยละ 19,25,8 ตามลำดับ ขณะที่ เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มกับการผลิตภัณฑ์อาหารปลากะพง เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13 3) อัตราการเติบโตของมูลค่าเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.66


9.โครงการ เทคโนโลยีการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อการผลิตปุ๋ยยกระดับสู่การเพาะเลี้ยงเพื่อใช้สำหรับตำรับยา ภายใต้ MAJU-JAYA MODEL
โครงการ เทคโนโลยีการเลี้ยงไส้เดือนเพื่อการผลิตปุ๋ยยกระดับสู่การเพาะเลี้ยงเพื่อใช้สำหรับตำรับยา ภายใต้ MAJU-JAYA MODEL ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ระยะเวลาการดำเนินงานเดือนพฤษภาคม 2566 – เมษายน 2567 โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 2,300,000 บาท (สองล้านสามแสนบาทถ้วน) จากหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมของโครงการ ครัวเรือนเป้าหมายหลักในการดำเนินงานโครงการ ได้แก่ ครัวเรือนเป้าหมายในตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี อำเภอยี่งอ และตำบลแว้ง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส การดำเนินโครงการมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะอาชีพการผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนและการดำเนินการในรูปแบบกลุ่มเพื่อให้ครัวเรือนยากจนมีทักษะอาชีพที่สามารถสร้างรายได้และดำเนินการร่วมกันเป็นกลุ่มอาชีพ โดยมีครัวเรือนยากจนเข้าร่วมโครงการจากตำบลสากอ และตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จำนวน 7 ครัวเรือนและ 120 ครัวเรือน ตามลำดับ ครัวเรือนจากตำบลแว้ง อำเภอแว้ง จำนวน 96 ครัวเรือน ครัวเรือนจากอำเภอ ยี่งอ จำนวน 40 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 263 ครัวเรือน ผลการดำเนินโครงการ เป็นสวัสดิการแก่สมาชิกกลุ่มในอนาคตต่อไป 3) ถ่ายทอดโมเดลแก้จนตั้งแต่การเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ แม่พันธุ์ไส้เดือน ตลอดจนการอบรมการจัดทำบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือนเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการจัดทำบัญชีเพื่อการวางแผนการเงินของครัวเรือนยากจน รู้ที่มาของรายรับและที่ไปของรายจ่าย ทำให้เริ่มรู้จักบริหารเงินในครัวเรือนให้มีความพอดีเหลือไว้พอใช้และไว้เก็บออม โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้ปฏิบัติการโมเดลแก้จน จำนวน 4 ผลิตภัณฑ์ คือ ปุ๋ยมูลไส้เดือน ชุดปลูกไมโครกรีน พันธุ์ไส้เดือน เบดดิ้งและดินเพาะ ซึ่งดำเนินการโดยวิสาหกิจกลุ่มผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนบ้านสากอเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์หลักที่ครัวเรือนเป้าหมายสามารถจำหน่ายได้เองคือ ปุ๋ยมูลไส้เดือน มีรายได้ 1,000-2,000 บาท/เดือน พันธุ์ไส้เดือน ถึงแม้จะขายได้ในราคาที่สูง แต่ต้องอาศัยทักษะและความเชี่ยวชาญของผู้เลี้ยง ทำให้มีครัวเรือนเป้าหมายเพียงบางกลุ่มที่สามารถจำหน่ายพันธุ์ไส้เดือนได้ ชุดปลูกไมโครกรีน เบดดิ้งและดินเพาะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำปุ๋ยมูลไส้เดือนมาพัฒนาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะชุมชนเมืองที่มีแนวโน้มบริโภคอาหารสุขภาพกันมากขึ้น โดยรายได้ของครัวเรือนเป้าหมายเพิ่มขึ้นภายหลังเข้าร่วมโครงการมากกว่าร้อยละ 20 จากรายได้เดิมก่อนเข้าร่วมโครงการ 4) สามารถยกระดับสถานะทางสังคม (Social mobility) ของกลุ่มครัวเรือนยากจน โดยมีสมาชิกจากโครงการซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักของโครงการที่ยังคงดำเนินกิจการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 สามารถขยับสถานะจากคนว่างงาน รับจ้างทั่วไปวันละ 100 บาท มีรายได้เพียงเดือนละ 500 – 700 บาทต่อเดือน ปัจจุบันได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตปุ๋ยมูลไส้เดือนบ้านสากอ รหัสทะเบียน 5-96-11-04-1-0027 เลขที่ 127 ตำบลสากอ อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส รหัสไปรษณีย์ 96140
